ศาสนาสําคัญในประเทศไทย
ศาสนาคริสต์
๔.๑ ประวัติโดยย่อ
ประวัติโดยย่อ คริสตศาสนาเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ.๕๗๓ ในปาเลสไตน์ หรือประเทศอิสราเอลปัจจุบัน ผู้ให้กำเนิดคือ พระเยซูคริสต์ เป็นบุตรของโจเซฟ ผู้มีอาชีพช่างไม้ เป็นเชื้อสายยิวแห่งนาซาเรธ และนางมาเรีย และเมื่อยังเยาว์วัย พระเยซูก็ได้ฝึกอบรมจากบิดามารดา เกี่ยวกับลัทธิของชาวยิว ส่วนในวันพระก็จะไปโบสถ์เพื่อสวดมนต์ และสนทนาธรรมเป็นประจำ เมื่ออายุ 30 ปี พระเยซูก็เริ่มพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องโลก และออกสั่งสอนศาสนาในหมู่บ้านต่างๆ จนเป็นที่เลื่องลือ และมีผู้เลื่อมใสศรัทธามากขึ้น คำสอนที่เป็นหัวใจของศาสนาคริสต์ เช่น " สอนให้มนุษย์มีความรัก และไม่เบียดเบียนกัน " พระเยซูสอนว่า " ผู้ที่ไม่เห่อเหิม และมีความนอบน้อมถ่อมกาย ย่อมจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่แสวงหาความดี ก็จะได้รับความดี ผู้ที่มีความกรุณาจงอย่าสู้รบกับความชั่ว ผู้ใดตบแก้มของท่าน จงหันอีกข้างหนึ่งให้ตบอีก และผู้ที่ใจบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะได้พบเห็นพระผู้เป็นเจ้า " จากคำสั่งสอนต่างๆ เหล่านี้ทำให้ความเลื่อมใสของชาวยิว ที่มีต่อพระเยซูได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อพระเยซูสิ้นชีพแล้ว บรรดาศิษย์ได้ดำเนินงาน เผยแพร่คำสอนของพระเยซู ต่อมาพระเยซูได้นามใหม่ว่า " พระเยซูคริสต์ " ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระคริสต์ได้ชื่อว่า " คริสเตียน "
ปัจจุบัน คริสตศาสนาได้ฝังรากลึกไปเกือบทั่วโลกทั้งในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และใต้ ออสเตรเลีย มีนิกายใหญ่ๆ อยู่ ๓ นิกาย คือ นิกายคาธอลิกกรีก นิกายโรมันคาธอ-ลิก และนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งแบ่งแยกย่อย เป็นนิกายอีกประมาณ ๒๕๐ นิกาย.
๔.๒ ข้อเปรียบเทียบระหว่างโรมันคาทอลิกกับโปรเเตสแตนท์ การปฏิรูปศาสนาที่เกิดขึ้น จนก่อให้เกิดการแบ่งแยกศาสนจักรออกมาเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ มีสาเหตุหลายประการทั้งถูกต้องเหมาะสมและไม่ถูกต้อง ขึ้นอยู่กับเหตุผลหรือแรงจูงใจที่ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปศาสนา จากประวัติศาสตร์คริสตจักรในยุคปฏิรูปศาสนาพบว่าคริสตจักรบางแห่งทำการปฏิรูปเพราะเห็นว่าศาสนจักรในเวลานั้น อยู่นอกร่องนอกรอยของพระเจ้า โดยดูจากมาตรฐานพระคริสตธรรมคัมภีร์ ขณะที่บางคริสตจักรปฏิรูปศาสนา เพราะเหตุผลทางการเมืองคือไม่ต้องการอยู่ใต้การปกครองของศาสนาจักรโรมันคาทอลิกไม่ต้องการเสียผลประโยชน์ในเรื่องการเงินที่ต้องส่งไปยังศาสนจักรที่กรุงโรม และบางคริสตจักรปฏิรูปศาสนา เพราะไม่พอใจที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกห้ามไม่ให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองทำสิ่งที่ผิดข้อกำหนดของศาสนจักรในเรื่องชิวตสมรส
อย่างไรก็ตามการปฏิรูปที่แท้จริงมีเป้าหมายอยู่ที่การกลับไปอยู่ในตำแหน่งและเดินไปตามทิศทางที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ ซึ่งต่อไปนี้ผู้ศึกษาจะได้เห็นข้อเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงของโรมันคาทอลิกในยุคนั้นกับโปรเเตสแตนท์ ซึ่งเป็นแรงผลักดัน ให้เกิดการปฏิรูปศาสนาที่ถูกต้องและเหมาะสมโดยนักปฏิรูปที่ชื่อมาร์ติน ลูเธอร์, อูลริช สวิงลี, จอห์น คาลวิน และอีกหลายต่อหลายคนในเวลาต่อมา
๔.๓ คำสอนในศาสนาคริสต์
๑.เรื่องพระคริสตธรรมคัมภีร์
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) ไม่เปิดโอกาสให้สามัญชนอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเองเป็นการส่วนตัว
๒) ไม่สนับสนุนให้สามัญชนอ่านพระคัมภีร์ ด้วยการไม่อนุญาตให้แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาท้องถิ่น ผู้ที่ฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิต
๓) การตีความหมายของพระคัมภีร์เป็นกิจที่ทำได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ทางศาสนาเท่านั้น
๔) ยอมรับคำสอนตกทอดของคริสตจักรและคำสั่งของสันตะปาปา ว่ามีสิทธิอำนาจเท่ากับพระคัมภีร์
๕) ยอมรับหนังสืออธิกธรรม เข้าในสาระบบของพระคัมภีร์
๕) ยอมรับหนังสืออธิกธรรม เข้าในสาระบบของพระคัมภีร์
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) กระตุ้นให้คริสตชนอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเองเป็นการส่วนตัว นอกเหนือที่ได้รับฟังจากคริสตจักร
๒) สนับสนุนให้คริสตชนอ่านพระคัมภีร์ด้วยการแปลออกเป็นภาษาท้องถิ่น เพื่อสามัญชนจะสามารถอ่านและเข้าใจได้ด้วยตนเอง
๒) สนับสนุนให้คริสตชนอ่านพระคัมภีร์ด้วยการแปลออกเป็นภาษาท้องถิ่น เพื่อสามัญชนจะสามารถอ่านและเข้าใจได้ด้วยตนเอง
๓) โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับผู้ที่เชื่อทุกคน ทำให้ผู้ที่เชื่อได้รับการดลใจ การเปิดเผยจากพระคัมภีร์
๔) พระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์นั้น ถูกต้อง และ สมบูรณ์ มีสิทธิอำนาจเหนือหนังสือ คำสอน วาทะของมนุษย์ทุกคน
๕) พระคัมภีร์ ๖๖ เล่ม ที่บรรจุในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและสัญญาใหม่เท่านั้น ที่อยู่ในสาระบบที่คริสตจักรยอมรับ
๒. เรื่องความรอดโรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) มนุษย์จะได้รับความรอดโดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์และการทำความดี
๒) การอภัยโทษบาปจะได้รับโดยพิธีบัพติสมา และจะหมดสภาพไปหากมนุษย์ได้กระทำบาปที่นำไปสู่ความตาย ซึ่งจะแก้ไขได้โดยการทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรม หรือการถวายทรัพย์
๒) การอภัยโทษบาปจะได้รับโดยพิธีบัพติสมา และจะหมดสภาพไปหากมนุษย์ได้กระทำบาปที่นำไปสู่ความตาย ซึ่งจะแก้ไขได้โดยการทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรม หรือการถวายทรัพย์
๓) ความรอดจะเป็นของผู้ที่อยู่ในศาสนจักรโรมันคาทอลิกเท่านั้น
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและปฏิบัติ คือ
๑) มนุษย์จะได้รับความรอดโดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น การทำดีเป็นผลจากการได้รับความรอดจากพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเหตุที่ทำให้ได้รับความรอด (เอเฟซัส 2:8-10)
๒) การอภัยโทษบาป จะได้รับเมื่อมนุษย์เชื่อในการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ การรับ บัพติสมาไม่ได้เป็นเหตุของการรับอภัยโทษบาป
๓) ความรอดเป็นของมนุษย์ทุกคนที่เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เพราะเป็นสมาชิกของ คริสตจักร
๓. เรื่องคริสตจักร
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) คริสตจักรที่แท้จริงประกอบด้วยผู้ที่รับบัพติสมาเข้าเป็นสมาชิกของศาสนจักร โรมัน-คาทอลิก
๒) คริสตจักรที่แท้จริง คือ คริสตจักรโรมมันคาทอลิกส่วนคริสตจักรอื่นๆ เป็นคริสตจักรนอกรีต
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) คริสตจักรที่แท้จริง ประกอบด้วย ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ ที่ร่วมสามัคคีธรรมในจิตวิญญาณ
๒) คริสตจักรที่แท้จริง คือ คริสตจักรที่เป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่เชื่อที่วางใจ ในพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าการบังเกิดใหม่
๓) คริสตจักร เป็นชุมชนของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ทำหน้าที่สำแดงความรัก และนำมนุษย์มาถึงความรอดในพระเจ้า นั่นคือการตอบสนองพระมหาบัญชา
๔. เรื่องประมุขของคริสตจักร
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) พระสันตะปาปาเป็นประมุขของพระศาสนจักร
๒) พระสันตะปาปาเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์บนแผ่นดินโลก
๓) พระสันตะปาปาไม่มีข้อผิดพลาดและคำพูดไม่มีผิด มีค่าเทียบเท่าพระคัมภีร์
๔) พระสันตะปาปาได้รับกุญแจสวรรค์ต่อจากอัครทูตเปโตร
๕) อัครทูตเปโตรเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของศาสนจักร
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) พระเยซูคริสต์เป็นประมุขสูงสุดของคริสตจักร : เอเฟซัส 1: 22 "พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร"
๒) พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร : เอเฟซัส 5:23 "เพราะว่าสามี เป็นศีรษะของภรรยาเหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร"
๓) คริสตชนทุกคนเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ : ยอห์น 1:4 "พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์" มัทธิว 5:14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้"
๔) คริสตชนทุกคนเป็นปุโรหิตหลวง 1 เปโตร 2:9 "แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านประกาศพระบารมีของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกท่านให้ออกมาจากความมืดเข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์"
๕) คริสตจักรที่แท้จริง คือ คริสตจักรที่เป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่เชื่อที่วางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่เรียกว่าการบังเกิดใหม่
๖) คริสตจักรเป็นชุมชนของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ทำหน้าที่สำแดงความรัก และนำมนุษย์มาถึงความรอดในพระเจ้า นั่นคือการตอบสนองพระมหาบัญชา]
๗) มนุษย์ทุกคนเป็นบาป และมีข้อผิดพลาดทั้งสิ้น เว้นแต่องค์พระเยซูคริสต์ โรม 3:23 "เพราะทุกคนทำบาป จึงเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า"
๘) กุญแจสวรรค์อยู่กับคริสตชนทุกคน มัทธิว 28:19 "เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์"
๙) อัครทูตเปโตร เป็นหนึ่งในบรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ และก็เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นในการรับใช้พระเยซู แม้จะผิดพลาดล้มเหลวและล้มลงหลายครั้งก็ตาม
๕. เรื่องคนกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) วีรบุรุษแห่งความเชื่อที่ได้ดำเนินชีวิตและสละชีวิตเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ถูกยกย่องว่าเป็นนักบุญ และเป็นคนกลางที่คริสตชนสามารถอธิษฐานผ่านเพื่อทูลต่อพระเจ้าได้
๒) คำอธิษฐานใดที่ไม่ได้รับคำตอบในพระนามของพระเยซู ก็ให้อธิษฐานทูลขอต่อพระแม่มารีย์ก็จะได้รับคำตอบแน่นอน ( มีการอธิบายว่าพระเยซูทรงรักพระมารดามาก ถ้าพระมารดาขอพระองค์จะทรงประทานให้เสมอ
โปรแตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) พระเยซูคริสต์เป็นคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ 1 ทิโมธี 2:5 "ด้วยเหตุว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์"
๒) พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานผ่านทางคำทูลขอที่ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น ยอห์น 14:13 "สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร"
๖. เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) สนับสนุนให้คริสตสมาชิกกราบไหว้รูปปั้นของพระแม่มารีย์, รูปปั้นของอัครทูตและรูปปั้นของนักบุญทั้งหลายในการประชุมของศาสนจักรโรมันคาทอลิก ค.ศ.1526 ที่เมืองเตรนต์ (Trent) ได้เสนอว่า "คริสตจักรควรจะมีรูปปั้นของนักบุญและการกราบไหว้ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ"
๒) กรุงโรมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตคริสตสมาชิกทุกคนต้องเดินทางมาแสวงบุญที่นี่ (เหมือนกับการที่คนมุสลิมต้องไปแสวงบุญที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย)
๓) สิ่งของเครื่องใช้ของพระเยซู พระแม่มารีย์และเหล่านักบุญเป็นสิ่งของที่ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์เดชในการรักษาโรคและการตอบคำอธิษฐาน เช่น ผ้าคลุมพระพักตร์ของพระเยซู สายรัดเอวของนางมารีย์
โปรแตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน อพยพ 20:4-5 "อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือแผ่นดินโลกเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้นเพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกไปถึงลูกหลานของผู้ซึ่งชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน"
๒) พระเจ้าสถิตอยู่ในคริสตจักรของพระองค์ คือ ในตัวของผู้ที่เชื่อไม่ใช่เฉพาะเจาะจงที่มหาวิหารในกรุงโรม (มัทธิว 18:20 " ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆ ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น")
3. พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของคริสตชนด้วยพระคุณ ไม่ใช่โดยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทีเรายึดถือ หรือสูตรคาถาใดๆ : มัทธิว 6:7-8 "แต่เมื่ออธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระเจ้าจึงจะทรงโปรดฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว"
3. พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของคริสตชนด้วยพระคุณ ไม่ใช่โดยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทีเรายึดถือ หรือสูตรคาถาใดๆ : มัทธิว 6:7-8 "แต่เมื่ออธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระเจ้าจึงจะทรงโปรดฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว"
๗. เรื่องบาปกำเนิดและการไถ่บาป
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) พระแม่มารีย์เป็นผู้ที่ไม่มีบาปกำเนิด ( หมายถึงบาปที่ตกทอดจากอดัมและเอวา )
๒) พระสันตะปาปาเป็นผู้ที่ถือกุญแจคลังกุศล (คลังกุศล คือ ที่ที่พระแม่มารีย์และนักบุญทั้งหลายได้ทำบุญที่มีมากนำมารวมกันที่นี่และสามารถใช้คลังกุศลทดแทนบาปของคริสตชนได้)
๓) พระสันตะปาปาสามารถตั้งเงื่อนไข ที่จะรับความรอดได้ เช่น ทุกคนที่อาสาไปรบในสงครามครูเสดจะได้รับการยกบาปทั้งหมด ผู้ที่บริจาคเงินซื้อใบบุญไถ่บาป จะได้รับการยกโทษบาป และช่วยให้พี่น้องพ้นจากแดนชำระได้
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป : โรม 3:10 "ตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย"
๒) พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวที่มีสิทธิอำนาจการยกบาป 1 ยอห์น 1:9 "ถ้าเราสารภาพของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น"
๘. เรื่องแดนชำระ
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) หลังจากที่คริสตชนตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะต้องไปอยู่แดนชำระเพื่อชำระความบาปที่ได้ทำไปขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลก บางคนอาจจะถูกชำระเป็นร้อยๆ ปี ซึ่งเจ็บปวดทุกข์ทร-มาน แต่ก็มีวิธีช่วยได้จากญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ในโลก ด้วยการนำเงินถวายเข้าคลังกุศลเพื่อช่วยวิญญาณที่ทนทุกข์เหล่านี้
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องแดนชำระในพระคัมภีร์ ตรงกันข้ามกลับให้ความมั่นใจต่อคริสตชนอย่างหนักแน่นในความรอดที่จะได้รับเพราะเหตุความเชื่อในพระเยซู : โรม 8:1 "เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์"และยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"
๙. เรื่องพิธีศักดิ์สิทธิ์
โรมันคาทอลิก : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) พิธีศักดิ์สิทธิ์มีด้วยกัน 7 ประการ คือ
๑.๑) ศีลบัพติสมา หรือศีลล้างบาป ผู้ที่รับทุกคนจะได้รับความรอด
๑.๒) ศีลกำลัง ผู้ที่ได้รับศีลนี้จะได้รับพระคุณ 7 ประการ คือ พระดำริ ( มีสติของพระเจ้า )สติ-ปัญญา (เข้าใจในสิ่งที่เรา ต้องเชื่อ และต้องปฏิบัติ) ความคิดอ่าน (ตัดสินใจตามความเชื่อ) กำลัง (ต่อสู้กับศัตรูฝ่ายวิญญาณ) ความรู้ (รู้ความจริงแห่งพระศาสนา) ความศรัทธา (รักพระเป็นเจ้าในฐานะเป็นพระบิดา) ความยำเกรง (เคารพพระเป็นเจ้า)
๑.๓) ศีลอภัยบาป เป็นศีลที่ต้องกระทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยต้องไปสารภาพบาปต่อบาท
หลวง
๑.๔) ศีลมหาสนิท เชื่อว่าขนมปังและเหล้าองุ่นเมื่อเข้าสู่พิธีจะเปลี่ยนเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จริง
๑.๕ ศีลเจิมไข้ หรือศีลเสบียง สำหรับคนป่วย หรือคนชรา เพื่อเสริมกำลังในการเดินทางไปพบพระเจ้าหลังความตาย
๑.๖) ศีลบวช เป็นศีลเจิมผู้ที่เข้าดำรงตำแหน่งบรรพชิตของคาทอลิก
๑.๗) ศีลสมรส สำหรับการประสาทพรของพระเจ้าแก่คู่สมรส
โปรเเตสแตนท์ : มีความเห็นและการปฏิบัติ คือ
๑) พิธีศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ ได้สั่งให้ปฏิบัติ มีเพียง 2 พิธี คือ พิธีบัพติศมา และพิธีมหาสนิทเท่านั้น : มัทธิว 28:19 " เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลาย จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์" และ 1 โครินธ์ 11:23-26 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้มอบไว้แก่ท่านนั้นข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาอายัดพระเยซูนั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ครั้นขอบพระคุณแล้วจึงทรงหักแล้ว ตรัสว่า "นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงกระทำเช่นนี้เพื่อเป็นที่ระลึก ถึงเรา " เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย ด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา"
๒) ในเรื่องการแปรสารจากขนมปังและเหล้าองุ่น เป็นพระกายและพระโลหิตเป็นเรื่องที่ไม่ได้ กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งขนมปังและเหล้าองุ่นเป็นอุปกรณ์ที่พระเยซูทรงใช้ เพื่อสื่อความหมายถึงพระกายและพระโลหิตของพระองค์ที่ต้องแตกหักและหลั่งออกเพื่อไถ่โทษบาปของมนุษย์ทุกคน